เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๗ ธ.ค. ๒๕๔๖

 

เทศน์เช้า วันที่ ๗ ธันวาคม ๒๕๔๖
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ศาสนาพุทธสอนให้เชื่อเรื่องกรรม กรรมคือการกระทำ เวลาเราเกิดขึ้นมานี่ เราเกิดจากกรรม เวลาการจะทำสิ่งต่าง ๆ เกิดขึ้นจากเจตนา เจตนาฝังลงที่ใจ จะรู้หรือไม่รู้มันฝังลงที่ใจทั้งหมด ถึงไม่รู้ถ้าเวลาคิดไป เห็นไหม ว่าเวลาทำเพราะไม่รู้มันก็เป็นกรรม แต่เวลาทำเพราะรู้ เจตนา เห็นไหม มันยิ่งกรรมหนักเข้าไปใหญ่ มันซ้ำไป แต่ถ้าเป็นกรรมดีมันก็ให้บุญกุศลเป็นสิ่งที่ดี เราเกิดขึ้นมานี่ เกิดเป็นพ่อเป็นแม่เป็นลูกกัน เห็นไหม เกิดมาตามสายเลือด นี่กระแสของกรรม

ถ้าเราเกิดขึ้นมาตามกระแสของกรรม เราเกิดขึ้นมาแล้วนี่ ลูกพ่อแม่นี่มีกรรมร่วมกันมา เกิดขึ้นมาถ้ามีความประสบความสำเร็จก็จะมีความสุขใจมาก เวลาลูกเกิดขึ้นมา เล็ก ๆ นี่ เห็นไหม จะมีความสุขใจมากเลย แต่เวลาโตขึ้นมานี่ เขาจะเป็นตัวของเขาเองมากขึ้น ๆ เพราะอะไร? เพราะเขาเองก็มีหัวใจของเขา เราเกิดขึ้นมานี่ เขาเกิดขึ้นมาจากเรา เราก็ปรารถนาสิ่งใด ๆ นี่ความผูกพัน เห็นไหม ความผูกพันมาก ความลึกล้ำมาก เพราะอะไร? เพราะกระแสของกรรม

เวลาทำบุญกุศลน่ะต้องอุทิศส่วนกุศลให้ถึงกัน นี่เวลาเราอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร ส่วนนี้เป็นโดยโลกที่เขาเห็นกันไง โลกนี้เห็นว่าเกิดเป็นพ่อเป็นแม่เป็นลูกกัน เกิดเป็นญาติโกโหติกา นี่สิ่งนี้ผูกพันหัวใจด้วยกัน แต่ตามหลักศาสนา เห็นไหม ว่าสัตว์โลกที่เกิดมานี่ ในโลก ในสามโลกธาตุนี้ไม่เคยเป็นญาติกันไม่มีเลย กระแสของกรรมนี่มันจะเกิดมามหาศาลเลย

คนเราเกิดมาโดยญาติกัน ญาติโดยสายเลือดอย่างหนึ่ง ญาติโดยธรรมอย่างหนึ่ง เพราะคนเกิดมามีปากมีท้องเหมือนกัน คนเกิดมามีทุกข์มียากเหมือนกัน ความเสมอภาคเสมอภาคกันตรงนี้ไง ตรงที่เกิดมาเหมือนกัน แต่หัวใจนี่มันจะหนักเบาอีกต่างกัน ต่างกันเพราะการประพฤติปฏิบัติ พระพุทธเจ้าถึงสอนให้เห็นปัจจุบันธรรม

ถ้าเห็นปัจจุบันนี่มันจะแก้ปัจจุบันได้ แล้วพอแก้ปัจจุบันได้จะไม่สงสัยในอดีตอนาคตเลย เพราะอดีตอนาคตนี้สืบออกไปปัจจุบัน เห็นไหม อดีตสืบทอดมานี่ เพราะเราสร้างอดีตมาดี เราถึงได้เกิดมานะ เราเกิดตายในชีวิตหนึ่ง เรามองไปที่สัตว์สิ อย่างพวกแมลงนี่ เขา ๗ วันตาย ๆ แล้วคิดทบชีวิตของเราสิ ๑๐๐ ปีของเราโดยประมาณ แล้วเขาเกิด ๗ วันตายนี่ ในชีวิตของเรา ๑ ภพของเราคือเกิดหนหนึ่งน่ะ เขาเกิดกี่หน เขาเกิดสภาวะนั้นกี่หน

สิ่งที่มีชีวิตเป็นสภาวะนั้นหมด ถ้าเราจะค้านว่ามันเป็นไปไม่ได้ คนก็คือคน สัตว์ก็คือสัตว์ มันเกิดเหมือนกัน มันมีความสุขความทุกข์เหมือนกัน สัตว์ทุกตัวเกิดขึ้นมาปรารถนาความสุข ไม่ปรารถนาความทุกข์ อย่างสัตว์ เห็นไหม เขาต้องการอิ่มปากอิ่มท้องของเขา เขาอยู่ของเขาตามสัญชาตญาณของเขาเท่านั้น เพราะเขาไม่มีสมอง

แต่เขาก็ทำคุณงามความดีของเขาได้ สัตว์บางตัวเราเลี้ยงสิ อย่างเลี้ยงสุนัขนี่ บางตัวนิสัยดี บางตัวนิสัยไม่ดี ทำไมมันเป็นแบบนั้นล่ะ นี่บางตัว เห็นไหม มันประจบ มันทำคุณงามความดีของมัน มันทำเพื่อมัน เห็นไหม ใจของคน ใจของสัตว์ ทุกดวงต้องการความสุข เกลียดความทุกข์ทั้งหมดเลย แต่เพราะสภาวะกรรมมันบังคับให้เกิดไง

สภาวะกรรม กรรมที่เราสร้างขึ้นมานี่ไม่สูญเปล่านะ ทำดีต้องได้ดี ทำชั่วต้องได้ชั่ว แล้วเราต้องเชื่อในหลักของศาสนา เพราะเราเชื่อตัวเราเองไม่ได้ ความดีของใครล่ะ ความดีของโจร ความดีของพวกจี้ปล้น เห็นไหม ถ้าเขาจี้ปล้นประสบความสำเร็จนั่นคือความดีของเขา นี่มิจฉาทิฏฐิ มิจฉาทิฏฐิคือเขาคิดของเขาแล้วว่าเป็นความดีของเขา เราถึงต้องมีศีลธรรมไง

ศีลคือไม่เบียดเบียนกัน เราคิด เห็นไหม เราไม่ลักทรัพย์ เราไม่เบียดเบียนสัตว์โลก เราไม่เบียดเบียนสัตว์ เราไม่ฆ่าสัตว์ ชีวิตเราก็จะมียืนยาวขึ้นไป เราปรารถนาสิ่งใดเราก็สม เห็นไหม อยากมีรูปร่างสวยงามต้องมีศีล อยากมีทรัพย์ต้องสละทาน สิ่งนี้เราสละออกไป สิ่งที่สละออกไป องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังบอกเลย เวลาท่านตรัสรู้มาแล้วนี่ คนเห็นว่าเพราะเป็นพระพุทธเจ้าถึงได้รับทานมาก ทุกคนต้องอยากถวายทานกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าบอก “ไม่ใช่หรอก”

ดูสิ ท่านสละชีวิต เห็นไหม สละมาตลอดนะ เวลาเป็นสัตว์ในครั้งก่อนที่ท่านปรารถนาพุทธภูมินี่ เป็นกระต่ายนะ เห็นพราน ๒ คนเขาอยู่ในป่า เขาอดอาหารกัน นี่สละชีวิตนะ โดดเข้ากองไฟเลยเพื่อให้เขากินเนื้อ เพื่อให้เขามีชีวิตรอดไป นี่สละขนาดนั้นมาทุกภพทุกชาติมากมายมหาศาล นี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าย้อนอดีตไปจะเห็นสภาวะแบบนั้นเลย ท่านสละมาขนาดนั้น เวลาถึงผลที่ท่านได้รับ มันก็เป็นผลของท่านที่ท่านสร้างมา

นี้ก็เหมือนกัน เราสละทาน เราทำขนาดไหน ในสมัยพุทธกาล พระอรหันต์เหมือนกัน บางองค์ เห็นไหม พระอรหันต์แต่ไม่เคยฉันอาหารอิ่มเลย คนเราเกิดมาชาติหนึ่งนะ กินข้าวไม่เคยอิ่มแม้แต่มื้อเดียวเลย ทุกข์ยากขนาดไหน นี่จนเข้าถึงว่าพระสารีบุตรได้ข่าว เห็นไหม ถึงไปหา ไปแก้ไง ให้ออกข้างหน้าก่อน ให้อยู่ข้างหลังก่อนเขาก็ใส่บาตรหมด ไม่ถึง เวลาให้อยู่ข้างหน้าก่อนเขาว่าเมื่อวานไม่ถึงข้างหลัง ก็ให้ใส่บาตรก่อน จะเป็นสภาวะแบบนั้น จนพระสารีบุตรสงสารนะ จับบาตรไว้ บุญกุศลของพระสารีบุตรจับบาตรไว้ ให้ท่านฉันข้าวมื้อหนึ่งให้ได้อิ่มไง อิ่มข้าวมื้อนั้น ท่านก็นิพพานมื้อนั้นเลย

คนเกิดมานะ แล้วไม่เคยกินข้าวอิ่มแม้แต่มื้อเดียว เราคิดสิ มันจะเป็นทุกข์ขนาดไหน นี่แล้วเป็นพระอรหันต์ด้วย นี่ไง ถึงบอก ถ้าเป็นพระอรหันต์แล้วนี่มันต้องได้บุญสิ ได้ทานสิ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะเป็นพระอรหันต์ ทำไมถึงได้บุญได้ทานมหาศาลเลย คนทำทานมาก แต่ทำไมพระอรหันต์องค์นั้นไม่มีล่ะ? เพราะท่านไม่ได้สร้างของท่านมา แต่ท่านสร้างปัญญาบารมีมา

สิ่งที่ปัญญาบารมี เห็นไหม เวลาเราคิดว่ามันเป็นปัญญา พวกเรานี่เป็นปัญญา เราเป็นปัญญา โลกจะแข่งขันด้วยปัญญา นี่ปัญญาทางโลกแข่งขันอย่างนั้น แล้วถ้ามีเรานะ มีตัวตนของเรา เราอยากชนะเขา เราก็ต้องมีตัวตนของเรา เราก็เบียดเบียนกัน เราต้องสร้างโอกาสของเรา นี่ความเบียดเบียนกัน

แต่ปัญญาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่ปัญญาเอาชนะตนเอง ปัญญาย้อนกลับเข้ามาภายในนี่ อันนี้ลึกลับมหัศจรรย์มาก มหัศจรรย์เพราะอะไร? เพราะใครบ้างที่จะเอาชนะตนเองได้ เรานี่เวลาเราทุกข์เรายาก เราไม่พอใจนี่ เราจะเอาสิ่งนี้ออกมาได้อย่างไร สิ่งนี้เวลาเราทุกข์ เห็นไหม ทุกคนปรารถนาความสุข แต่เวลามันเกิดความขัดข้องหมองใจ ทำไมเราไม่สละสิ่งนี้ออกไปได้ล่ะ

นี่กิเลสในใจคนสำคัญมาก สำคัญที่อยู่ในหัวใจของเรา นี่ตัวนี้ตัวต้นของกรรม นี่อนุสัย สิ่งที่นอนเนื่องมากับใจ มันอยู่ในใจของเรา ถ้าเราจะเอาชนะตนของเราได้ เราต้องทำความสงบของใจเข้ามาก่อน กดถ่วงมัน เราปรับพื้นที่ไง เราจะทำงานสิ่งใดเราต้องมีพื้นที่ทำงาน นักกีฬาเขาจะเล่นกีฬากัน เขาต้องมีสนามซ้อม สนามของเรา เห็นไหม กาย เวทนา จิต ธรรม

นี่กายกับจิตเป็นสนามของเรา เวลางานของโลก โลกเขาทำงานกันไป เขาต้องประกอบสัมมาอาชีวะ นั่นงานของเขา งานของนักบวช เห็นไหม งานของผู้เห็นภัย เราไม่ใช่นักบวช ถ้าเรามาประพฤติปฏิบัติเราก็เห็นภัยของเรา นี่งานของเราเป็นงานเอาชนะตนเอง สิ่งนี้มันต้องตั้งสติ นี่เราเดินจงกรมอยู่นะ ดูหลวงปู่มั่นไปทางเหนือสิ เห็นไหม พวกชาวเขาเขาไปดู

“เดินไปเดินมานี่ หาอะไร?”

“หาพุทโธ พุทโธหาย”

เขาทำตามของเขา เขาก็ยังได้ความสงบของเขา เราก็เหมือนกัน เราทำกับเรานี่ เราหาพุทโธของเรา เราหาใจของเรานะ พุทโธคือผู้รู้ ผู้ตื่นไง ผู้รู้คือใจของเรา ใจของเรานี่รู้หมดเลย แต่เรารู้วิชาการ รู้อาชีพ รู้สัมมาอาชีวะ รู้แต่เรื่องภายนอกไง แต่ไม่รู้เรื่องของตนเอง นักวิชาการขนาดไหนก็ไม่รู้เรื่องของตนเอง เห็นไหม

นี่ให้จบในพวกแพทย์พวกอะไรนี่เขาก็รู้เรื่องของเขา รู้เรื่องร่างกาย แต่เขาก็ไม่รู้เรื่องใจของตนเอง เรื่องสรีระเรื่องร่างกายนี่จะรู้หมดเลย โรคอย่างนั้นต้องใช้ยาอย่างนั้น ๆ แต่โรคของใจทำไมไม่รู้ล่ะ เพราะหมอทุกคนก็มีความทุกข์ในหัวใจ ความอาลัยอาวรณ์นี่ คนเราเกิดมามีความตื่นเต้น มีความพอใจมาก

แต่เวลาจะพลัดพรากจากเราไปนี่ เห็นไหม คนใกล้ตายขึ้นไปนี่ เราจะมีสมบัติ ทุกคนกลัวตาย ทุกคนไม่อยากไป ทุกคนอยากจะมีชีวิตอยู่ตลอดไป แต่มันเป็นไปไม่ได้ สัจธรรม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกให้เชื่อกรรมไง กรรมคือการกระทำ ทำดีต้องได้ดี ทำชั่วต้องได้ชั่ว แล้วก็เวียนไปตามสภาวะของวัฏฏะ วัฏฏะนี้เป็นอนิจจัง วัฏฏะนี้เป็นสิ่งที่แปรสภาพตลอดไป ไม่มีสิ่งใดคงที่ การเกิดก็ไม่คงที่

แต่สิ่งหนึ่ง หัวใจที่มันเป็นสสารธาตุรู้ตัวนี้มันคงที่ เพียงแต่มันแปรสภาพไง มันต้องแปรสภาพไป เพราะรักษาสถานะที่ความรู้อันนี้เข้าไป นี่มันอยู่กับโลกไป มันเวียนไป พอทำถึงจุดหนึ่ง ไอ้ใจดวงนี้ ไอ้สิ่งที่ว่าสสารที่เป็นธาตุรู้นี่ สสารของโลกมันแปรสภาพตลอดไป เห็นไหม แปรสภาพแล้วมันเป็นอย่างอื่นตลอดไป เพราะมันแปรสภาพของตัวมันไป

แต่ตัวหัวใจนี่ มันรับรู้ต่าง ๆ คือกรรมดีกรรมชั่วนี่มันรับรู้อยู่ ไอ้สิ่งนี้แปรสภาพ แต่เนื้อของมันไม่แปร เนื้อของมันคือธาตุรู้อันนั้น ถ้ามันทำบริสุทธิ์ได้ มันจะบริสุทธิ์ได้ นี่ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานไง ผู้รู้นี้ไม่ตื่น ผู้รู้นี้โดนปกคลุมด้วยอวิชชา คือความไม่รู้สิ่งต่าง ๆ ในตัวมันเอง แต่มันเป็นธาตุรู้อยู่ ผู้รู้เหมือนกัน อวิชชากับวิชชา เห็นไหม นี่ผู้รู้แต่ไม่ตื่น พอไม่ตื่นมันก็อยู่กับกระแสโลก เวียนไปกับกระแสโลก แล้วหมุนไปตามกระแสโลก

แต่ถ้าผู้รู้ตื่นขึ้นมา เห็นไหม โลกก็หมุนไป เราอาศัยโลกอยู่ ปัจจัย ๔ ต้องอาศัยโลกอยู่ พระเราต้องบิณฑบาตเลี้ยงชีพด้วยปลีแข้งเหมือนกัน เลี้ยงชีวิตนี้ รักษาชีวิตนี้ด้วยการประพฤติปฏิบัติ เห็นไหม อยู่กับโลกเขา โลกเขาหมุนไป เราก็อยู่กับโลกเขา แต่เราต้องย้อนกลับมาดูใจของเรา ทำให้มันหยุดออกจากโลกให้ได้ เห็นไหม วัฏฏะกับวิวัฏฏะ สิ่งที่เป็นวัฏฏะมันต้องหมุนแปรสภาพไป ปีใหม่ปีเก่าเห็นไหม เดือนวันคืนล่วงไป ๆ เดี๋ยวปีเดี๋ยวปีนะ

แล้วนี่ชีวิตเรา เกิดเป็นมนุษย์ขึ้นมานี่ ความเพลิดเพลินของมัน เราไม่มีสติ ไม่เตือนตัวเอง เราจะไปสภาวะแบบนั้นหมดเลย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อนจะปรินิพพาน เห็นไหม “ภิกษุทั้งหลาย เธอจงพิจารณาสังขารด้วยความไม่ประมาทเถิด” นี่เป็นคำเตือนครั้งสุดท้ายขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้กับโลกนะ

ภิกษุทั้งหลาย เห็นไหม นี่บริษัททั้งหลาย บริษัท ๔ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา อย่าประมาทในสังขารไง ถ้าเธอพิจารณาสังขารด้วยความไม่ประมาทเถิด พวกเธอจะมีที่พึ่ง พวกเธอจะพ้นออกไป จากวัฏฏะเป็นวิวัฏฏะ วัฏฏะมันหมุนไป สรรพสิ่งนี้หมุนไป เกิดมามันถึงต้องตายไง

สิ่งใดเกิดขึ้น สิ่งนั้นต้องทำลายไปทั้งหมด เราไม่อยากตายไม่ได้เพราะเราเกิดอยู่ เราถึงต้องมาทำพิจารณาของเรา กระแสกรรมเกิดขึ้นมานี่ การเบียดเบียนกัน ความทุกข์ความสุขในโลกอันนี้เรายอมรับไป เพราะมันเป็นสิ่งที่การกระทบกับเรามา แต่กระแสกรรมของใจนี่ ใจที่มันเวียนตายเวียนเกิดอันนี้เราต้องรับเข้ามา ย้อนกลับเข้ามาดูเราให้ได้ ทำใจดวงนี้ตั้งมั่นขึ้นมาให้ได้ ให้ผู้รู้ตื่นขึ้นมาให้ได้

ผู้รู้ เห็นไหม ใครทำสมาธิได้ ทำความสงบของใจได้ มันจะตื่นเต้นมาก มันจะมีความสุขมาก ความสุขที่โลกเขามีกันน่ะ เขาไปเที่ยวดวงจันทร์ ไปเที่ยวอะไรนั่นน่ะ เพื่อมีความสุขของใจดวงนั้น ไม่สมกับใจดวงนี้หรอก ถ้าจะไปดวงจันทร์ คนมีเงินมันก็ซื้อตั๋วไปได้ทุกคน แต่ถ้าคนทำความสงบของใจได้ เงินซื้อไม่ได้ เป็นปัจจัตตัง ใจของใครดวงนั้นเป็นคนทำดวงนั้น

แล้วสิ่งที่ความสงบอันนี้มันพลิกกลับมา พลิกกลับมาเพื่อวิปัสสนา พลิกกลับมาเป็นปัญญาญาณ พลิกกลับมาเป็นภาวนาของพระอริยบุคคล ทางวิทยาศาสตร์ไม่เคยเจอ ใครก็ไม่เคยเจอ โลกนี้คนจะมีชื่อเสียงลือนามขนาดไหน ไม่เคยเห็นปัญญาตัวนี้ ถ้าใครเคยเห็นปัญญาตัวนี้โดยสมบูรณ์ คนคนนั้นอย่างน้อยต้องเป็นพระโสดาบัน พระโสดาบันเกิดอีก ๗ ชาติเท่านั้น

นี่เห็นไหม จากวัฏฏะมันจะเริ่มเป็นวิวัฏฏะ มันจะไม่หมุนไป มันถึงไม่เป็นไปตามอนิจจังไง มันถึงใจดวงนั้นที่มันมีสิ่งสารปกคลุมอยู่นี่ มันจะเบิกบาน มันจะรู้จริง เห็นไหม ด้วยภาวนามยปัญญาย้อนกลับมา นี่กระแสกรรมพาเกิด เรายอมรับนะ เกิดขึ้นมาจากกรรม จากสายเลือดนี้กรรมในครอบครัวของเรา แต่กระแสของกรรมของโลก สัตว์โลก เห็นไหม เกิดมาโดยญาติกันโดยธรรม ญาติกันทั้งหมดทั้งโลกธาตุนี้เลย

ถึงว่าทุกคนเกิดมาจากกิเลส ทุกคนมีกิเลส การเบียดเบียน การกระทบกระทั่งกันเกิดโดยธรรมชาติ สิ่งนั้นมันมีโดยธรรมชาติ ถ้าธรรมชาติเป็นแบบนั้นเราฝืนไม่ได้ เราถึงต้องกลับมาดูใจเรา สิ่งนั้นเกิดขึ้นเราพิจารณาแล้วปล่อยวาง นั้นมันเรื่องของเขา เรื่องของธรรมชาติ เรื่องของโลกไม่เกี่ยวกับใจของเรา ใจของเราเราพิจารณาของเรา แล้วเราเข้าใจของเรา ให้ใจมันปล่อยวางไง

นี่โลกธรรม ๘ ไม่สามารถทำให้ใจดวงนั้นหวั่นไหวได้ ถ้าจิตเรายังมีภวาสวะมีภพอยู่ เวลาสิ่งกระทบกระเทือนเข้ามานี่ คำนินทาเข้ามานี่ กระเทือนใจมาก แต่ถ้าเราทำสิ่งหัวใจเราไม่มีนี่ มันจะกระทบกระเทือนสิ่งใด มันผ่านไปผ่านมาโดยที่ไม่มีสิ่งใดกระเทือนใจดวงนั้นเลย

นี้คือวิวัฏฏะ นี้คือสิ่งที่ไม่เป็นไปตามธรรมชาติ นี้คือสิ่งที่เหนือธรรมชาติ ธรรมะคือเหนือทุกอย่าง เหนือธรรมชาติไง สรรพสิ่งในธรรมชาติคือสสารที่แปรสภาพ มีอยู่ตลอดไป ธรรมะนี้เหนือธรรมชาติ เข้าใจในทฤษฎีธรรมชาตินั้น แล้วปล่อยธรรมชาตินั้นไว้ตามความจริง แล้วมันออกมาจากธรรมชาตินั้นอยู่โดยเอกเทศของมัน นี้คือนิพพาน เอวัง